เมื่อเวลา 07-30 น.วันที่12 มิถุนายน 2563 ที่ลานเอนกประสงค์ หน้าพระอุโบสถ วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม เป็นองค์ประธานในพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนื่องในวันอายุวัฒนมงคล48ปี โดยมี คณะศิษ์มีครูเป็นผู้ดำเนินพิธีพราหมณ์ พร้อมด้วย นายสมชาติ สาลีพัฒนา (เฮียเงี๊ยบ)เจ้าของร้านก๋ยวเตี๋ยวลูกชิ้นปลานายเงี๊ยบ นายบริพันธ์(นก) ชัยภูมิ นายกสมาคมนักเพลงลูกทุ่งแห่งประเทศไทย และคณะศิษยานุศิษย์ โดยการดำเนินพิธีการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยดา ฟ้าดิน ซึ่งตั้งแต่โบราณมา มนุษย์ให้ความนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพยดา เป็นผู้ชี้ชะตาและนำทางชีวิต ในทุกๆ การตัดสินใจ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อเริ่มต้นสิ่งใหม่ในชีวิต สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือ “การบวงสรวง” ต่อเทวดาฟ้าดิน เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามความเชื่อที่มีสืบต่อกันมา“การบวงสรวง” คือการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในลักษณะการอัญเชิญ เพื่อให้เกิดสิริมงคลกับตัวเอง กิจการงานต่างๆ หรือเป็นการขออนุญาตก่อนจะเริ่มทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งอาจเป็นการบุกรุก รบกวนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการแสดงตนว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะลบหลู่จากการกระทำนั้นๆ
หลวงพี่น้ำฝน ได้กล่าวว่า เครื่องบวงสรวงต่างๆนาๆและบายศรีอันมีพลังแรงกล้า เป็นที่รองรับ หมู่ทวยเทพ เทวดาเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เครื่องบวงสรวงทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นจากจิตศรัทธา อันบริสุทธิ์ของคณะศิษย์ยานุศิษย์ เพื่อถวายและทดแทนคุณบรมครูบาอาจารย์ และคุณสมชาติ สาลีพัฒนา หรือ(เฮียเงี้ยบ) เมื่อรู้จะจัดพิธีอะไรก็แล้วแต่ คุณสมชาตินั้นจะเป็นผู้ที่ไม่ต้องบอกไม่ต้องไปขออะไรทั้งสิ้นคุณนก บริพันธ์ ชัยภูมิ ผู้เป็นเนื้อนาบุญกับอาตมภาพตั้งแต่บวชพรรษาแรกในการสร้างอุโบสถหลังนี้ ตลอดจนศิษยานุศิษย์ทุกคนต่างเป็นเนื้อนาบุญของอาตมภาพ ก็เปรียบเสมือนอยู่ในร่างกายของอาตมภาพ ไม่ว่าจะเป็นคณะสงฆ์ทุกรูป แม้แต่คำสั่งสอนที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อตฺตรฺกโข ท่านได้สอนอาตมาภาพให้มีความตัญญู กตเวทีเป็นที่ตั้ง ก็คือความขยัน ซื่อสัตย์ อดทนและก็รู้บุญคุณคน 4คำนี้อาตมาภาพถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาเรียกว่าพระ แต่อาตมาภาพมีจิตที่ทำตามรอยบรมครูบาอาจารย์ตลอด ก็คือพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อตฺตรฺกโข นั่นเองไม่เคยคิดร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใดใครจะคิดร้ายต่ออาตมาภาพ อาตมภาพไม่เคยจะไปคิดร้าย คิดจองล้าง จองผลาญและก็พยาบาท สิ่งที่สำคัญก็ได้แค่แต่บอกกล่าวเล่าให้แก่หมู่ทวยเทพ เทวดาเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์หลาย ที่คอยปกปักรักษาคุ้มครองถ้าญาติโยมทั้งหลายศิษย์ยานุศิษย์ทั้งหลายเคารพศรัทธาบูชา. ความเคารพศรัทธานั้นมันจะเข้าไปอยู่ในจิตใจของเรา ทำให้เกิดเป็นพลังซึ่งพลังงานนี้ไม่สามารถที่จะอย่างรู้ได้นอกจากตัวของเราทั้งหลายนั่นเอง เพราะฉะนั้นศิษย์ยานุศิษย์ทั้งหลายทั้งที่ได้มาหรือไม่ได้มาอาตมภาพแผ่บุญแผ่กุศล ให้ทุกท่าน ทุกคน แผ่บุญแผ่กุศลไม่ใช่แผ่ให้คนตายอย่างเดียว แผ่บุญแผ่กุศล แผ่ความดี แผ่ให้ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ที่ร่วมเป็นเนื้อนาบุญกับอาตมภาพ ในการอบรมสั่งสอนนั้นสิ่งเหล่านี้รับรองได้อานิสงส์จะบังเกิดกับท่านทั้งหลาย ที่อาตมาภาพได้กล่าวคำบวงสรวงมาตั้งแต่ต้นจนจบนั่นเอง ท่านจงจำไว้ พวกท่านทั้งหลายเป็นเนื้อนาบุญของอาตมภาพตลอดชาติสืบต่อไป. เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่สำคัญและเครื่องบวงสรวงเหล่านั้นเมื่อเราได้ทำพิธีบวงสรวงเทพยดาเจ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายโดยเฉพาะเราอยู่ในหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งสำคัญที่สุดถ้าเราไม่มีหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สติปัญญาก็ไม่มีทางเกิดไม่มีทางเกิดขึ้นมาให้เราในการดำเนินชีวิตไปได้อย่างแน่นอนถ้าเราไม่มี สติ ปัญญา ในการที่จะดำเนินชีวิตด้วยหลักธรรมคำสั่งสอนแล้วรับรองได้ ความทุกข์ ความหายนะ มันจะมาบังเกิดกับท่านทั้งหลาย อย่างแน่นอนเพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญไม่ว่าเราจะนั่งอยู่กลางแดดเพียงใดถ้าเราทำจิตใจให้ร่มแดดนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรเราได้ด้วยศีลสมาธิและปัญญา เพราะฉะนั้นเทพยดาเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าพเจ้าโดยที่มองไม่เห็น ในการที่จะสืบทอดพระพุทธศาสนา บวรพระพุทธศาสนา คือ บ้าน วัด โรงเรียน เพราะฉะนั้นอานิสงส์ต่างๆอาตมภาพ จึงขอมอบให้เนื้อนาบุญทั้งหลายทุกคนต้องเกิดแก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครพ้นวัฏจักรนี้ไปได้ ตามรอยแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทิ้งไว้เป็นจุดสำคัญที่สุดอาตมาภาพและคณะสงฆ์วัดไปล้อมได้เห็นสัจธรรมนี้และก็เกิดอาการปลงได้เยอะแล้ว กิเลสต่างๆนาๆก็คือความโลภ ความโกรธ ความหลง จะค่อยๆดับลงไป ดับลงไป ดับลงไป เกือบจนถึงวันตายนั่นเอง เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลาย เทพยดาทั้งหลาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย นั้นประทานพรให้กับเนื้อนาบุญให้แก่ข้าพเจ้า พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน) และคณะศิษยานุศิษย์ ได้รับอานิสงส์นี้ทุกประการโดยพร้อมเพรียงกันด้วยเทอญฯ