ทนายพจน์ นายกไวยาวัจกร ทวงถามเจ้าอาวาสวัดสามชุก อะไรถึงไม่ฟันธงพระปีนเสา

นายกสมาคมไวยาวัจกร ตั้งคำถามเจ้าอาวาสวัดสามชุกหย่อนประสิทธิภาพในการทำงานหรือไม่ หรือมีอะไรเป็นปมที่ยังไม่สามารถสั่งให้พระปีนเสาพ้นสภาพออกไปจากวัด ที่ผ่านมาเหมือนเล่นป่าหี่ ออกหนังสือตักเตือนคราวละเจ็ดวันเหมือนไม่กล้าฟันธง ย้ำ 3 วันจากนี้หากยังไม่มีมีการดำเนินการใดใด จะเดินหน้ายื่นหนังสือต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ทบทวนเรื่องการขับพระที่สร้างปัญหาให้พ้นจากสังกัด ขณะที่หลวงพี่น้ำฝนให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาภาพลักษณ์ของพระภิกษุในปัจจุบัน โดยให้มองที่เจ้าอาวาสหากทุกวัดทำหน้าที่ ได้อย่างเข้มแข็งชัดเจนมีกฎระเบียบเคร่งครัดปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นและตัดตอนได้ที่วัดของตัวเอง

วันที่ 13 พฤศจิกายน 67 จากกรณี พระครูปลัดธีรธนัชณฤทธา เมตตฺตธมฺโม (เสาวภาคย์โชติรส) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “พระครูปลัดธีระ” หรือ “พระปีนเสา” สังกัดวัดสามชุก จ.สุพรรณบุรี ได้มีประเด็นถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมในหลายกรณี ก่อนที่เจ้าอาวาสวัดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ได้มีหนังสือเรียกตัวกลับวัดภายใน 7 วัน หลังจากที่พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ประสานสนธิกำลังเจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอนครชัยศรี เข้าตรวจค้น สำนักปฏิบัติธรรมพุทธะชยันตรีในพื้นที่ ตำบลห้วยพลู อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

แต่ต่อมาพระครูปลัดธีระฯ ได้มีการไปออกสื่อรายการโทรทัศน์ รวมถึงมีการไลฟ์ผ่านเส้นทางโซเชียลและมีประเด็นถกเถียงกับญาติโยมทำให้หลายฝ่ายเกิดคำถาม ถึงการประพฤติตนที่เหมาะสมหรือไม่ในการมีปากเสียงกับญาติโยม ก่อนนำมาซึ่งมี การออกหนังสือสั่งการ อีกครั้งให้พระครูปลัดธีระฯอยู่ในกรอบระเบียบหากไม่ปฏิบัติตามจะมีการใช้อำนาจขั้นเด็ดขาดต่อไป

โดยในเรื่องดังกล่าววันนี้ หลังจากที่หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ในฐานะประธานคณะทำงานดำเนินการแก้ไขข้อขัดข้องระงับเหตุและแก้ไขปัญหาอธิกรณ์ข้อร้องเรียนในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค 14 (พระวินยาธิการ ตำรวจพระ) ได้ขอเข้าพบกับพระครูทักษิณานุกิจ เจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์  เจ้าอาวาสวัดห้วยจระเข้ จังหวัดนครปฐม เพื่อประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กอ.รมน.นครปฐม สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ชุดเฉพาะกิจฝ่ายปกครองจังหวัดนครปฐม รวมถึงนายนายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร “ทนายพจน์” นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย ในการประชุมหารือเพื่อดำเนินการ ในการจัดระเบียบคณะสงฆ์เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและสร้างความศรัทธาให้แก่ญาติโยมหลังจากมีกระแสข่าวเชิงลบตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา

โดยหลังกาประชุม นายศุภภัทร์พจน์ นิติศศธร “ทนายพจน์” นายกสมาคมไวยาวัจกรแห่งประเทศไทย เผยอย่างดุเดือดว่า กรณีการหารือและจัดการเกี่ยวกับ ทำของพระสงฆ์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมซึ่งหลวงพี่น้ำฝนได้มีการนำพระวินยาธิการ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครปฐม ติดตามจับกุมพระเรืองชัยหรือนายเรืองชัย ถูกจับสึกไปแล้วหลังหลังจากมีพฤติกรรมเป็นพระสงฆ์แต่อาศัยอยู่ที่บ้านไม่ยอมเข้าสังกัดวัดและยังมีพฤติกรรมในการขับรถบิณฑบาตซึ่งเป็นภาพที่พุทธศาสนิกชนไม่สบาย ซึ่งยังมีประเด็นของพระครูปลัดธีระ ที่มีภาพออกมาปรากฏว่ามีการขับรถยนต์ไปบิณฑบาตเช่นกันโดยสองคนนี้ มีลักษณะพฤติกรรมที่คล้ายกันหลายอย่างจนเป็นที่น่าสงสัย เช่น การไม่ยอมจำวัดต้นสังกัด และการขับรถยนต์ไปบิณฑบาตต่างอำเภอ จนเป็นที่เอื้อมระอาของชาวบ้านที่พบเห็น  โดยในส่วนสำนักปฎิบัติธรรมพุทธชยันตรี ของพระปีนเสา ในขณะที่หลวงตาที่ขับรถแล้วไม่ยอมกลับวัดก็โบสถ์อยู่ในโครงการของมูลนิธิที่ชื่อคล้ายๆกันด้วย

ทนายพจน์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับข้อสงสัยสำหรับสำนักปฎิบัติธรรมของ พระปีนเสา ซึ่งหลวงพี่น้ำฝนได้เข้าไปตรวจสอบ ก็พบว่าเป็นบ้านซึ่งไม่ใช่เป็นสำนักสงฆ์หรือสถานปฏิบัติธรรมแต่มีสีกาคนหนึ่งได้ออกมาอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของสถานที่ดังกล่าว ซึ่งจากการสังเกตการและตั้งข้อสงสัยของเจ้าหน้าที่พบว่าจิกาคนนี้น่าจะ เป็นคนเดียวกับคนที่ถูกจับพร้อมกัน ที่อำเภอพุทธมณฑลประมาณ 2-3 ปีก่อน โดยได้มีการทำบันทึกทำทัณฑ์บนไว้เนื่องจากพบทั้งเสื้อผ้าฆราวาสและอุปกรณ์ต่างๆในรถ ขณะขับรถไปบิณฑบาต และสถานที่ดังกล่าว น่าจะมีการขึ้นป้ายเอาไว้เพื่อปกปิดหรือปิดบังเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบ สำหรับการรายงานให้กับเจ้าคณะตำบลได้ทราบ

“ผมมีการตั้งข้อสังเกตว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านเจ้าอาวาสวัดสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นวัดต้นสังกัดเหตุใดท่านจึงปล่อยปะละเลยเนื่องจากพระปีนเสาหรือพระครูปลัดธีระ ก็ไม่เคยมีการได้จำอยู่ที่วัดเลย แต่ไปอาศัยอยู่ในบ้านฆราวาสซึ่งท่านได้เคยมีข้อสงสัยหรือติดตามข้อมูลอย่างไรไหม กระทั่งมีเรื่องมีราวเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมาและตกเป็นข่าวดังของสื่อหลายสำนัก เจ้าอาวาสวัดสามชุกก็ได้ออกหนังสือให้พระปีนเสากลับวัดภายในเจ็ดวัน ซึ่งพระปีนเสา ก็ได้กลับไปรายงานตัวและถ่ายคลิปไว้ด้วยว่าได้กลับมาจำที่วัดนี้แล้ว หลังจากนั้นก็ออกมาเพ่นพ่านเหมือนเดิมกลางวันก็ไปที่วัดโน้นวัดนี้ ส่วนกลางคืนก็มีการไลฟ์สดผ่านโซเชียลและมีการด่าพ่อล่อแม่กับฆราวาสเป็นที่เอือมระอา” ทนายพจน์ กล่าว

ทนายพจน์ กล่าวอีกว่า ในฐานะที่ตนเองเป็นนายกสมาคมไวยวัจกรแห่งประเทศไทย มีความรู้สึกไม่สบายใจเช่นเดียวกับพี่น้องประชาชนหลายคนก็ทราบว่าได้มีหนังสือทักท้วงเข้าไปสอบถามถึงความคืบหน้า ความคืบหน้าในการตั้งคณะกรรมการ และตัดสินเรื่องดังกล่าวอย่างไร กระทั่งเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไม่ทราบด้วยว่าจะเป็นเพราะแรงกดดันหรือด้วยอะไรไม่ทราบ ท่านเจ้าวาสวัดสามชุก ก็เลยออกหนังสือมาอีกหนึ่งฉบับ โดยสั่งการว่าห้ามทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่างๆนานาประมาณสี่ข้อ และได้ยืดเวลาห้ามทำกิจกรรมดังกล่าวไปอีก 7 วัน มองว่าพระปีนเสามีพฤติกรรมแปลกแปลกๆ มาแล้วหลายครั้งหลายปีแต่ก็ไม่มีใครทำอะไรได้ “เราเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสน่าจะมีการดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นสั่งให้พ้นสภาพพระในสังกัดวัด ไม่ใช่ให้เวลาเจ็ดวัน แล้วยืดไปอีกเจ็ดวัน คนจึงสงสัยว่าท่านเจ้าอาวาสจะเป็นผู้หย่อน ประสิทธิภาพในการทำงาน หรือเป็นลักษณะของไก่เห็นตีนงู งูเห็นตีนไก่หรือเปล่า รวมถึงคณะพระสังฆาธิการในระดับตำบลอำเภอจังหวัด ก็ยังไม่มีมีการแอ็คชั่นหรือดำเนินการใดใดเกิดขึ้น”

“หากภายใน 3 วันนับจากนี้ ท่านเจ้าอาวาสวัดสามชุก ท่านเจ้าคณะตำบล ท่านเจ้าคณะอำเภอ และระดับจังหวัด หากไม่มีการขับเคลื่อนหรือขยับอะไร ทางสมาคมฯ อาจจะตัดสินใจเดินทางไปยื่นหนังสือต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพื่อให้ทำหนังสือส่งไปยังเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาสเพื่อให้มีการทบทวนในการขับพระปีนเสาออกจากวัด” ทนายพจน์ กล่าว

ทนายพจน์ กล่าวปิดท้ายว่า พฤติกรรมของพระปีนเสา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็ปรากฏชัดเจนว่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องของภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นสำหรับประชาชน แต่พระสังฆาธิการพระปกครองที่ดูแลกลับไม่เคยมีการวางมาตรการหรือเชิญมาตักเตือนหรือดำเนินการใดเลย ขอย้ำว่าท่านมีนอกมีในอะไรกันหรือไม่ หรือท่านหย่อนยานในการทำงาน และขอฝากไปยังพระวินยาธิการทั่วประเทศ เจ้าอาวาสทั่วประเทศ หากท่านควบคุมดูแลและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างที่เป็นทุกวันนี้

ขณะที่พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ในฐานะประธานพระวินยาธิการ ภาค 14 ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาภาพลักษณ์และความศรัทธาในพระภิกษุสงฆ์ในปัจจุบันว่า การแก้ปัญหาที่แท้จริงก็คืออยู่ที่เจ้าอาวาสของวัดนั้นๆ ซึ่งหากเจ้าอาวาสเข้มแข็งเอาใจใส่และเคร่งในกฎระเบียบปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

เช่นอย่างที่วัดไผ่ล้อมจะมีการปกครองแบบเป็นประชาธิปไตยเวลามีปัญหาจะมีการประชุมสงฆ์ และนำปัญหาต่างๆเข้าที่ประชุมโดยจะมีการตัดสินด้วยคณะสงฆ์ สำหรับความผิดนั้นนั้นว่าคณะสงฆ์จะมีบทลงโทษหรือมีบัญญัติอย่างไรในแต่ละกรณี

“การแก้ปัญหาที่ถูกจุดคือการที่เจ้าอาวาสสามารถควบคุมสถานการณ์ต่างๆของวัดตนเองได้ และปัญหาก็จะไม่ลุกลามไปถึงระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด  และการจะเป็นพระภิกษุสงฆ์นั้นจะต้องมีสังกัดอยู่ที่ชัดเจนจะเร่ร่อนไปไหนมาไหนไม่ได้ อย่างที่วัดไผ่ล้อมหากจะบวชก็ต้องจำวัดอยู่ที่วัดไผ่ล้อมหากจะขอย้ายไปอยู่ที่อื่นก็จะขอให้ทำทำเรื่องให้ถูกต้องเพื่อป้องกันการตรวจสอบไม่ได้ว่าจะไปก่อเหตุอะไรหลังจากออกไปสำนักที่อื่นแล้ว” หลวงพี่น้ำฝนกล่าว

หลวงพี่น้ำฝนกล่าว เพิ่มเติมว่า ยิ่งขึ้นว่ายังเป็นพระนวกะ กว่าจะปล่อยมือจากพระอุปปัชชาได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 5 ปีไปแล้ว จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสวัดนั้นนั้นเป็นผู้ปกครองต่อไป จากนี้พระวินยาธิการ ของแต่ละตำบลแต่ละอำเภอและแต่ละจังหวัดจะต้องหันหน้าเข้ามาช่วยกันอย่างจริงจังแล้ว โดยเฉพาะในภาค 14 ท่านเจ้าคุณ พระธรรมวชิรานุวัฒน์ เจ้าคณะภาค 14 ได้เน้นการปกครองให้พระภิกษุของเราอยู่ในกฏระเบียบและมีการทำงานเป็นลำดับชั้นเพื่อความเรียบร้อยนั่นเอง

Related posts